กฏหมายที่เกี่ยวข้อง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

พุทธศักราช 2560

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

รัฐธรรมนูญ 2560.pdf
พรบ.การศึกษาแห่งชาติ-พ.ศ.-2542.pdf

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545

และฉบับที่ 3 พ.ศ. 2553

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562

พรบการศึกษาแห่งชาติ 2542 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 และ 3.pdf
พรบการศึกษาแห่งชาติ แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2562.PDF

พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546

พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546
แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2553

พรบ.-ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ-2546.pdf
พ.ร.บ.บริหาร-ฉบับที่-2-พ.ศ.2553.pdf

พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546
แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562


พรบ.ศธ.2546 ฉ3.PDF

พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547

พรบ. ข้าราชการครู-1-2547.PDF

พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551

พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2553

พรบ.ข้าราชการครู-2-2551.PDF
พรบ. ข้าราชการครู-3-2553.PDF

พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562

พรบ. ข้าราชการครู-4-2562.pdf

พ.ร.บ. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546

1.-พรบ.-สภาครู 2546.pdf

พ.ร.บ. การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545

พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารราชการ 

พ.ศ. 2540

พรบ.การศึกษาภาคบังคับ 2545.pdf
พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540.pdf

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 

พ.ศ. 2562

พรบ.คุ้มครองขัอมูลส่วนบุคคล 2562.PDF

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  พ.ศ. ๒๕๔๒   แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓


พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติม


พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และแก้ไขเพิ่มเติม


พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545


พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และแก้ไขเพิ่มเติม


พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547


ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ  ว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.  2546 (ออกตาม  มาตรา  35  พรบ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ)


กฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ  คุณสมบัติ  หลักเกณฑ์วิธีการสรรหากรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2546


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

 

นิยามความหมาย

 

     กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนดขึ้น เพื่อบังคับให้มีการประพฤติปฏิบัติตาม หากผู้ใดละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามก็จะได้รับโทษ กฎหมายคือเครื่องมือของรัฐในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและการดำเนินงานของทุกคน โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ย่อมต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานด้วย

ความสำคัญของกฎหมายการศึกษา

          การดำเนินงานทางการศึกษา เป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้คนเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นฝ่ายจัดการศึกษา ฝ่ายรับบริการทางการศึกษา และฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยบุคคลดังกล่าว ต้องปฏิบัติและดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ดังนั้นกฎหมายจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินงานทางการศึกษากล่าวได้ ดังนี้

          ๑. กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานจัดการศึกษาของรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถจัดการศึกษาเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้

          ๒. กฎหมายการศึกษาเป็นกรอบการดำเนินงานที่ช่วยให้การบริหารการศึกษาเป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับของผู้รับบริการและสังคม

          ๓. กฎหมายการศึกษาช่วยให้สามารถใช้การศึกษาพัฒนาเด็กและเยาวชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

          ๔. กฎหมายการศึกษาทำให้ประชาชนของประเทศเกิดสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา ทำให้สามารถปฏิบัติตนตามสิทธิและหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม

          ด้วยบทบาทดังกล่าว กฎหมายและกฎหมายการศึกษาจึงมีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องมือดำเนินงานเกี่ยวกับการศึกษาของชาติ หากขาดกฎหมายแล้วอาจทำให้การจัดการศึกษาไม่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้

ลักษณะของกฎหมายการศึกษา

          กฎหมายการศึกษาเป็นกฎหมายชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องมีลักษณะของกฎหมายเช่นเดียวกับกฎหมายทั่วๆ ไป กล่าวคือ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของบุคคล ซึ่งผู้มีอำนาจในประเทศกำหนดขึ้นและใช้บังคับให้ผู้ที่อยู่ในสังกัดประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม มีลักษณะสำคัญประกอบด้วย (มานิตย์ จุมปา, ๒๕๔๘)

               ๑) ต้องมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับเป็นมาตรฐานของสังคม

               ๒) ต้องเป็นการกำหนดความประพฤติของบุคคล

               ๓) ต้องมีสภาพบังคับ

               ๔) ต้องมีกระบวนการที่แน่นอนในการดำเนินการ ให้เป็นไปตากฎ กฎเกณฑ์ในกฎหมาย

          สำหรับกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ตามรูปแบบเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร กำหนดตามศักดิ์ของกฎหมายได้ ดังนี้

               ๑. รัฐธรรมนูญ

               ๒. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

               ๓. พระราชบัญญัติ

               ๔. พระราชกำหนด

               ๕. พระราชกฤษฎีกา

               ๖. กฎกระทรวง

               ๗. กฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

          นอกจากรูปแบบของกฎหมายดังกล่าวแล้ว กฎหมายยังสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้หลายลักษณะ ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งประเภท เช่น หลักแหล่งกำเนิดของกฎหมาย หลักสภาพการบังคับของกฎหมาย หลักการใช้กฎหมาย หลักฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วการแบ่งประเภทของกฎหมายจะยึดหลักฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ ซึ่งแบ่งประเภทกฎหมายออกเป็นกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน กล่าวคือ

               ๑) กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ปกครอง เช่น กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง และกฎหมายการคลัง เป็นต้น

               ๒) กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกัน ในฐานะผู้อยู่ใต้ปกครองที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน

          กล่าวโดยเฉพาะกฎหมายการศึกษา ก็จะหมายถึงกฎเหณฑ์ที่รัฐหรือผู้มีอำนาจกำหนดขึ้น เป็นกฎ ข้อบังคับ การปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารและจัดการศึกษา โดยมีรูปแบบทั้งที่เป็นพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง รวมทั้งข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ที่ใช้บังคับในการดำเนินงานทางการศึกษา และมีลักษณะเป็นกฎหมายมหาชนในสาชากฎหมายปกครอง เนื่องจากกฎหมายการศึกษาส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน และระหว่างองค์กรของรัฐด้วยกัน เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ .ศ.๒๕๔๖ พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ๒๕๔๖ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ พ.ศ.๒๖๔๓ กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็ก เพื่อเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.๒๕๔๕ และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญา พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้น

การจำแนกประเภทกฎหมายการศึกษา

          กฎหมายการศึกษาไทย สามารถจำแนกเป็นประเภทได้หลายลักษณะตามหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้ในการจำแนก กล่าวคือ หากจำแนกตามศักดิ์ของกฎหมายสามารถแบ่งประเภทออกเป็น

               ๑) กฎหมายแม่บท ได้แก่ รัฐธรรมนูญ

               ๒) กฎหมายลูกบท ได้แก่ กฎหมายที่ออกตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

          หากจำแนกตามลักษณะการออกกฎหมาย สามารถแบ่งประเภทออกเป็น

               ๑) กฎหมายหลัก ได้แก่ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย พระราชบัญญํติต่างๆ

               ๒) กฎหมายรอง ได้แก่ กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งอาศัยอำนาจตามที่กำหนดไว้ในกฏหมายหลัก ประกอบด้วย กฎกระทรวง ระบเยบ ข้อบังคับ เป็นต้น

ในที่นี้จะขอจำแนกประเภทตามลักษณะสาระสำคัญของกฎหมาย ซึ่งสามารถแบ่งกฎหมายการศึกษาออกเป็น ๕ ประเภท ดังนี้

          ๑. กฎหมายแม่บททางการศึกษา ได้แก่ รัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่ให้อำนาจในการออกกฎหมายการศึกษาอื่นๆ ได้แก่

                   ๑.๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

                   ๑.๒ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕

                   ๑.๓ พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.๒๕๔๕

          ๒. กฎหมายว่าด้วยการจัดการโครงสร้างและการบริหารจัดการทางการศึกษา ได้แก่

                   ๒.๑ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ และกฎกระทรวง ระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัติฉบับนี้

                   ๒.๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารจัดการศึกษาเฉพาะด้าน เช่น พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ.๒๕๕๐ พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๕๐ พระราชบัญญัติการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้น

                   ๒.๓ พระราชบัญญัติจัดตั้งสถานศึกษาเป็นการเฉพาะแห่ง เช่น พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฎ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เป็นต้น

          ๓. กฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ได้แก่ พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๖ และกฎกระทรวง ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้

          ๔. กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลทางการศึกษา ได้แก่

                   ๔.๑ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑

                   ๔.๒ พระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗

                   ๔.๓ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗

                   ๔.๔ พระราชกฤษฎีกา การปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๕๐

          ๕. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการศึกษา ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการศึกษาที่ผู้บริหารการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องจะต้องนำมาใช้ประกอบการดำเนินงาน กล่าวคือ

                   ๕.๑ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.๒๕๔๖

                   ๕.๒ พระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙

                   ๕.๓ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.๒๕๔๐

                   ๕.๔ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙

                   ๕.๕ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒

                   ๕.๖ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.๒๕๔๖

การบังคับใช้กฎหมายการศึกษา

          การใช้กฎหมาย (Application of Law) มีความหมายสองประการ คือ 

              ๑) การใช้กฎหมายในทางทฤษฎี เป็นการนำกฎหมายไปใช้แก่บุคคลในเวลาและสถานที่หรือตามเหตุการณ์หรือเงื่อนไข ในเวลาหนึ่งๆ ซึ่งจะสัมพันธ์กับเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ

              ๒) การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ เป็นการนำกฎหมายไปปรับใช้แก่คดี หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะเจาะจง เพื่อหาคำตอบหรือเพื่อวินิจฉัยพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งในเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเรียกว่าการปรับใช้บทกฎหมาย การใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ ต้องทำด้วยความระมัดระวังเพราะอาจตีความผิด หรือนำเอาบทบัญญัติที่เป็นข้อยกเว้นมาใช้ โดยลืมนึกถึงส่วนที่เป็นหลักเมืองหรือนำเอาส่วนที่เป็นหลักมาใช้ โดยไม่รู้ว่าเป็นข้อยกเว้น (วิษณุ เครืองาม, ๒๕๓๘)

          อย่างไรก็ตามนักบริหารการศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบดำเนินงานให้องค์การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จะต้องเลือกใช้กฎหมายอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ ซึ่งมีแนวทางพอสรุปได้ ดังนี้

               ๑. ผู้บริหารการศึกษาต้องรู้กฎหมายเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของตน เข้าใจ และสามารถปรับกฎหมายใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

               ๒. ผู้บริหารการศึกษาต้องมีความสุจริตในการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นเจตนาที่ดีในการปฏิบัติงานตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้

               ๓. ผู้บริหารการศึกษาต้องถือกฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหารงานไปสู่ความสำเร็จ กฎหมายไม่ใช่สิ่งขัดขวางการปฏิบัติงาน ดังนั้นผู้บริหารการศึกษาจะต้องเฉลียวฉลาด และมีไหวพริบเพียงพอที่จะใช้กฎหมายให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารและจัดการศึกษาให้ได้

          การใช้กฎหมายในการบริหารและจัดการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผู้บริหารการศึกษาจะต้องมีความรอบรู้ และเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ มีความสุจริตและมีไหวพริบที่จะใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง

 

เอกสารอ้างอิง

มานิตย์ จุมปา. (๒๕๔๘). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วิษณุ เครองาม. (๒๕๓๕). เอกสารการสอนชุดวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย. พิมพ์ครั้งที่ ๒๓ นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

สถาบันพระปกเล้า. (๒๕๔๔). ประเภทและศักดิ์ของกฏหมายในรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การค้าของ สกสค.

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (๒๕๔๘). รวมกฎหมายการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การค้าของ สกสค.

สุทัศน์ ทิวทอง. (๒๕๔๖) “หน่วยที่ ๖ บริบทด้านกฎหมาย” ในประมวลสาระวิชาบริบททางการบริหารการศึกษา. นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช.